บันทึการเดินทางสู่ภูสอยดาว
วันพุธที่ 25 ตุลาคม เรานัดพบกันที่บ้านพี่ใหญ่ใน เวลาประมาณสองทุ่ม เรา 5 ชีวิตออกเดินทางไปพิษณุโลก ฝากชีวิตไว้กับคุณเล็กโชเฟอร์รถตู้ และมีไกด์ผมหยิกยาวนามว่าคุณแป๋ง จากแคมปิ้งไซด์แนะนำตัวและทำความรู้จัก ว่าใครเป็นใคร คุณแป๋งเป็นผู้ชี้แจงโปรแกรมการท่องเที่ยวให้ฟังพอสังเขป ตลอดการเดินทางหลับๆตื่นๆกันมา...จนถึงพนาวัลย์รีสอร์ทเวลาประมาณตีหนึ่ง เศษๆ เข้าบ้านพักนอนกัน
วันพฤหัสที่ 26 ตุลาคม เราเตรียมตัวขึ้นภูแบ่งแยกกระเป๋าเป็น 2 ใบ กระเป๋าที่ไม่จำเป็นเก็บไว้ในรถตู้ (รู้สึกว่าอะไรๆก็จำเป็นไปหมด..ต้องนำชึ้นไปด้วย)
8:30 น. เราออกเดินทางจากพนาวัลย์รีสอร์ท ก่อนออกเดินทางได้รู้จักับคุณอู๊ด 1 ในเจ้าหน้าที่ของแคมปิ้งไซด์ ซึ่งจะดูแลเรื่องอาหารการกินและสมภาร เดินทางมาจากอุ้มผาง
12:00 น. คุณแป๋งออกนำทาง ...ขึ้นประมาณ 1.5 กม. ยังไม่ค่อยเหนื่อย ทางชันมาก ประมาณ 45 องศา พี่ๆเล่าให้ฟังว่าหนทางขึ้นพอๆกับขึ้นภูกระดึง ขึ้นไปซำแฮก เดิน...เดิน และเดิน
14:00 น. เดินถึงเนินป่าก่อ ตลอดเส้นทางเดินมีแต่ต้นไผ่ ต้นก่อ ต้นไม้กวาด ดงหญ้ามากมาย เดินตามทางเก็บลูก่อมากินรสชาดมันๆอร่อยดี (เชื่อไกด์ว่ากินได้) พวกเราเดินรอๆกัน แวะพักบ้างเป็นระยะๆ ที่บอบช้ำที่ก็คงเป็นตัวเอง...เพราะก่อนที่จะมาเที่ยวครั้งนี้เป็นไข้หวัด ใหญ่ยังไม่หายดี เหนื่อยมาก ต้องหยุดและเดินช้าๆ มีช่วงหนึ่ง...คุณอู๊ดเห็นหน้าซีดมากขอให้หยุดเดินและนั่งพัก ดื่มน้ำผสมเกลือแร่ ค่อยๆดีขึ้น และเดินทางต่อไป
15:00 น. เข้าสู่เนินเสือโคร่ง พบนกพญาไฟ สีส้มเข้าเกาะอยู่บนต้นเต่าร้างพอได้ยินเสียงเดิน ตกใจบินหนีไปหมด พวกเราเดินต่อไปไม่รีบร้อน ระยะทางประมาณ 2.8 กม. เท่านั้นก็จะถึงลานสนภูสอยดาว
16:30 น. เดินเข้าสู่เส้นทางที่เรียกว่าเนินมรณะ อีกประมาณ 1.5 กม. เท่านั้นจะพ้นเนินนี้แล้ว แต่หนทางที่จะเดินนี่ซิ ต้องเดินก้มหน้าตลอดเพราะทางชันมาก 45 องศาโดยประมาณ ซ้ำยังเป็นดงหญ้าคาสูงท่วมหัว ต่างคนต่างเดิน ถ้าเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นยอดสนอยู่ไม่ไกล...ใกล้ตาแต่ไกล...เหลือเกิน เดินขึ้นไปสูงขึ้น สูงขึ้น ผู้ที่ขึ้นไปก่อนก็จะบอกว่าใกล้แล้วๆ แต่ไม่เห็นถึงซะที ....ขาเริ่มก้าวไม่ออกอยู่แล้ว
แต่ เมื่อหันหลังกลับมามองทางด้านหลังเนินเขาที่เราเดินผ่านมา สวยงามมาก เป็นภาพที่ติตตาประทับใจ มีลมโชยมาเบาๆ ลืมความเหนื่อยล้าไปเลย
ใน ที่สุดเราก็เดินพ้นเนินมรณะด้วยความสุข เห็นต้นสนมากมาย ต้นหงอนนาค ชูดอกอยูประปราย...ก่อนหน้านี้ประมาณปลายเดือนกันยา ต้นเดือนตุลา คงจะเต็มทุง มีดอกไม้สีเหลืองแซมเป็นเพื่อนสวยมาก เดินอีกนิดก็ถึงป้ายผู้พิชิตงานสนสามใบภูสอยดาว
เดิน ไปอีกไม่ไกลก็จะเห็นผู้ที่มาก่อนกางเต๊นท์กันแล้ว 2-3 เต๊นท์ เดินข้ามลำธารไปก็ถึงบริเวณที่เราจะกางเต๊นท์ ระหว่ารอสัมภาระ เราก็ออกสำรวจพื้นที่โดยการถ่ายรูป
เรา ไปอาบน้ำกันท่ามกลางความมืดที่ลำธาร น้ำเย็นเหมือนแช่อยู่ในน้ำแข็ง กว่าจะเสร็จก็ทุลักทุเลกันพอสมควร กลับมาทานอาหารค่ำกัน เป็นฝีมือคุณอู๊ด มีแกงจืดเต้าหู้ขาว น้ำพริกอ่อง พร้อมแตงกวา ผักกาดขาวที่แช่เย็นไว้ในลำธาร ไข่เจียว หมูผัดพริกใส่หอมหัวใหญ่ ของหวานเป็นมันแกว...เราทานกันได้อิ่มพอสมควร นั่งคุยสักพักก็เข้านอนเพราะเพลียกันมาทั้งวันแล้ว ก่อนเข้านอนแจกยา para คนละเม็ดสองเม็ด เพื่อให้หายปวดเมื่อย กลางดึกลมพัดกรรโชกแรง เต๊นท์แทบจะปลิว
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 05:00 ได้กลิ่นควันไฟจากากรเตรียมอาหาร เราไปทำธุระส่วนตัวและเตรียมพร้อมที่จะเดินตามเนินห้าผากันอีก ระหว่างรออาหารเช้า เราก็ออกเดินไปถ่ายรูปกันที่เนินใกล้ๆ สูดอากาศที่สดชื่นกันอย่างเต็มที เห็นภูเขาที่ฝั่งลาวที่มีหมอกไหลออกมา ไม่ขาดสาย สวยงามจริงๆ
9:00 น. ออกเดินทางชมนก ชมไม้ ป่าสนสามใบที่สวยงาม ถ่ายรูปกันเป็นระยะ...จนเพลีย ทุกสิ่งที่เห็นสวยไปหมด ถ่ายรูปกันให้สะใจเพราะจะไม่มีการมาถ่ายซ่อมกันอีกแล้ว...ใครอย่าชวนมาอีก นะ เดินวนเป็นวงกลมใช้เวลา 2 ชั่วโมง
13:00 น. หลังจากอาหารกลางวัน พวกเราเดินย่อยอาหารไปน้ำตกสายทิพย์ ก่อนลงไปพบดอกหงอนนาคและดอกสร้อยสุวรรณ (สีเหลือง) แวะถ่ายรูป ทางลงน้ำตกวิบากอีกแล้ว ระหว่างทางมีแสงแดดส่องมารำไรๆ มีดอกไม้ดอกเล็กๆ ขึ้นอยู่ตามทางพอได้ชื่นชม...พบดอกไข่ดาว และใบเปิล หล่นอยู่บนพื่นหญ้าแห้ง หยิบมาลอยน้ำให้ไหลไปตามสายน้ำสวยดี เดินมาได้ที่เหมาะแวะอาบน้ำกันที่ธารน้ำตก น้ำเย็นชื่นใจ
เมื่อ หันกลับมามองภูฝั่งลาว เมฆขาวลอยลงมาจากภูสวยเหมือนม่านน้ำตก สุดจะบรรยาย เมฆมาจากไหนกัน ไม่มีหมด ไม่ขาดสาย ชัตเตอร์ของทุกคนทำงานหนัก ประทับใจมาก และบรรยากาศเช่นนี้จะไม่มีวันลบเลือนไปจากความทรงจำได้เลย แม้จะบันทึกไว้ด้วยภาพแล้วก็ตาม
รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่ภูสอยดาว แต่เย็นวันนี้พระอาทิยต์ตกไม่สวยเท่าไร เพราะมีเมฆบังทำให้ตกเร็วยิ่งขี้น
เรา กลับมาที่พักด้วยความประทับใจ มื้อค่ำนี้ด้วยบรรยากาศป่าป่า ท่ามกลางแนวสน แสงเทียน และเสียงเพลง รายการอาหารมื้อนี้เหมือนเมื่อวาน แต่ของหวานวันนี้เป็นลิ้นจี่กระป๋องแช่น้ำเย็นในสำธาร นั่งคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ตลอดจนทางปัญหากวนๆ และนั่งนับดาวอยู่จนถึง 4 ทุ่มจึงเข้านอน
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 05:00 ได้กลิ่นควันไฟลอยมาเข้าจมูกอีกเช้าหนึ่ง ไปทำธุระส่วนตัว กลับมาทานอาหารเช้า
หลังอาหารเช้า เราเดินเล่นชื่นชมบรรยากาศเนินรอบๆ และเก็นภาพเป็นที่ระลึกก่อนลงจากภู ได้รูปสวยๆ เป็นที่พอใจทุกคน
กลับมาที่พักเก็บของ แต่งตัวเตรียมพร้อมเดินลงจากภู ของหนักต่างๆ ต้องให้ลูกหาบมาหาบลงไป (ลูกหาบมานอนค้างคืนรออยู่แล้ว)
8:30 น. เราออกเดินทาง ระยะทางลงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ถ้าเผลออาจกลิ้งลงไปได้ง่ายๆ เพราะเป็นทางดิ่ง ต้องค่อยๆ
ลงตั้งหลักไม่ดีอาจหล่นไปข้างทางได้ และเก็บไม่ได้ด้วย.... แต่ก็มี guard
คอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง
แต่แล้วตัวเองก็พลาดลื่นไถลลงมานั่งพับเพียบเรียบร้อย
และเรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ ได้ไม่น้อย
13:30 น. ออกเดินทางจากศูนย์ฯ เข้าตัวเมืองบนเส้นทางอันขรุขระ หลับกันมาตลอดทาง
15:00 น. แวะที่อุทยานชาติตระการ ไปดูน้ำตกแค่ชั้นที่ 1 ก็สวย แต่จะให้ปีนขึ้นไปอีกก็คงจะไม่ไหว
20:00 น. กลับถึงพนาวัลย์รีสอร์ท ทานอาหารค่ำ เข้านอน เพื่อพร้อมลุยในวันรุ่งชึ้นกับการล่องแก่งน้ำเข็ก
วันพุธที่ 25 ตุลาคม เรานัดพบกันที่บ้านพี่ใหญ่ใน เวลาประมาณสองทุ่ม เรา 5 ชีวิตออกเดินทางไปพิษณุโลก ฝากชีวิตไว้กับคุณเล็กโชเฟอร์รถตู้ และมีไกด์ผมหยิกยาวนามว่าคุณแป๋ง จากแคมปิ้งไซด์แนะนำตัวและทำความรู้จัก ว่าใครเป็นใคร คุณแป๋งเป็นผู้ชี้แจงโปรแกรมการท่องเที่ยวให้ฟังพอสังเขป ตลอดการเดินทางหลับๆตื่นๆกันมา...จนถึงพนาวัลย์รีสอร์ทเวลาประมาณตีหนึ่ง เศษๆ เข้าบ้านพักนอนกัน
วันพฤหัสที่ 26 ตุลาคม เราเตรียมตัวขึ้นภูแบ่งแยกกระเป๋าเป็น 2 ใบ กระเป๋าที่ไม่จำเป็นเก็บไว้ในรถตู้ (รู้สึกว่าอะไรๆก็จำเป็นไปหมด..ต้องนำชึ้นไปด้วย)
9:30 น. เดินทางไปศูนย์บริการการท่องเที่ยว เพื่อนำขอไปชั่ง ต้องให้ลูกหาบหาบขึ้นไปให้ เพราะลำพัง
ตัวเองก็จะไปไม่รอด...ที่ศูนย์พวกเราก็สวมหัวใจนัก shop ซื้อเสื้อยืดกันคนละตัวสองตัวเพื่อเป็นกำลังในการเดินทางขึ้นภูครั้งนี้
11:30 น. ก่อนออกเดินทางพวกเรา 5 และ body guard 4 คน ทานอาหารกลางวันที่เตรีมมาจากรีสอร์ท...เป็นข้าวผัดไข่ดาว ที่น้ำตกสกาวเดือน
12:00 น. คุณแป๋งออกนำทาง ...ขึ้นประมาณ 1.5 กม. ยังไม่ค่อยเหนื่อย ทางชันมาก ประมาณ 45 องศา พี่ๆเล่าให้ฟังว่าหนทางขึ้นพอๆกับขึ้นภูกระดึง ขึ้นไปซำแฮก เดิน...เดิน และเดิน
13:00 น. ถึงลานหินลำน้ำภาค...พักแล้วเดินต่อไปถึงดงไผ่ ...ซึ่งเรียกว่า เนินปราเซียน
(ไม่รู้จักเซียนทั้ง 5 คนนี้ซะแล้ว)
15:00 น. เข้าสู่เนินเสือโคร่ง พบนกพญาไฟ สีส้มเข้าเกาะอยู่บนต้นเต่าร้างพอได้ยินเสียงเดิน ตกใจบินหนีไปหมด พวกเราเดินต่อไปไม่รีบร้อน ระยะทางประมาณ 2.8 กม. เท่านั้นก็จะถึงลานสนภูสอยดาว
เราแวะกันตลอดทางทั้งถ่ายรูปและนั่งพัก...ตรงนี้มีแคร่ไม้ไผ่ให้นั่งพัก...ขอบคุณผู้ทำไว้ ณ ที่นี้
ชมวิวทิวทัศน์ตลอดข้างทางทำให้หายเหนื่อยได้บ้าง
ตลอด ทางเดินจะพบดอกไม้ป่าสีสวย เช่นดอกสีม่วง สีส้ม และที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม่ใหญ่ๆ ออกดอกสีสวยสด ต้นไม้บางต้นก็สวยสมบูรณ์...อดใจไม่ได้ต้องขอไปถ่ายรูปไว้กันลืม
ตลอด ทางเดินจะพบดอกไม้ป่าสีสวย เช่นดอกสีม่วง สีส้ม และที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม่ใหญ่ๆ ออกดอกสีสวยสด ต้นไม้บางต้นก็สวยสมบูรณ์...อดใจไม่ได้ต้องขอไปถ่ายรูปไว้กันลืม
แต่ เมื่อหันหลังกลับมามองทางด้านหลังเนินเขาที่เราเดินผ่านมา สวยงามมาก เป็นภาพที่ติตตาประทับใจ มีลมโชยมาเบาๆ ลืมความเหนื่อยล้าไปเลย
17:00 น. ถึงป้ายผู้พิชิตลานสนสามใบภูสอยดาว ระดับความสูง 1,633 เมตร ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหลายรูปให้สมกับความเหนื่อยที่ขึ้นภูมา ห้าชั่วโมงกับการเดินทางที่แสนทรหดครั้งหนึ่งในชีวิต
เดิน ไปอีกไม่ไกลก็จะเห็นผู้ที่มาก่อนกางเต๊นท์กันแล้ว 2-3 เต๊นท์ เดินข้ามลำธารไปก็ถึงบริเวณที่เราจะกางเต๊นท์ ระหว่ารอสัมภาระ เราก็ออกสำรวจพื้นที่โดยการถ่ายรูป
เรา ไปอาบน้ำกันท่ามกลางความมืดที่ลำธาร น้ำเย็นเหมือนแช่อยู่ในน้ำแข็ง กว่าจะเสร็จก็ทุลักทุเลกันพอสมควร กลับมาทานอาหารค่ำกัน เป็นฝีมือคุณอู๊ด มีแกงจืดเต้าหู้ขาว น้ำพริกอ่อง พร้อมแตงกวา ผักกาดขาวที่แช่เย็นไว้ในลำธาร ไข่เจียว หมูผัดพริกใส่หอมหัวใหญ่ ของหวานเป็นมันแกว...เราทานกันได้อิ่มพอสมควร นั่งคุยสักพักก็เข้านอนเพราะเพลียกันมาทั้งวันแล้ว ก่อนเข้านอนแจกยา para คนละเม็ดสองเม็ด เพื่อให้หายปวดเมื่อย กลางดึกลมพัดกรรโชกแรง เต๊นท์แทบจะปลิว
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 05:00 ได้กลิ่นควันไฟจากากรเตรียมอาหาร เราไปทำธุระส่วนตัวและเตรียมพร้อมที่จะเดินตามเนินห้าผากันอีก ระหว่างรออาหารเช้า เราก็ออกเดินไปถ่ายรูปกันที่เนินใกล้ๆ สูดอากาศที่สดชื่นกันอย่างเต็มที เห็นภูเขาที่ฝั่งลาวที่มีหมอกไหลออกมา ไม่ขาดสาย สวยงามจริงๆ
ระหว่างทาง มีดอกหงอนนาคบานเต็มทุ่ง ถ่ายรูปกันซักหน่อย
เมื่อ หันกลับมามองภูฝั่งลาว เมฆขาวลอยลงมาจากภูสวยเหมือนม่านน้ำตก สุดจะบรรยาย เมฆมาจากไหนกัน ไม่มีหมด ไม่ขาดสาย ชัตเตอร์ของทุกคนทำงานหนัก ประทับใจมาก และบรรยากาศเช่นนี้จะไม่มีวันลบเลือนไปจากความทรงจำได้เลย แม้จะบันทึกไว้ด้วยภาพแล้วก็ตาม
รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่ภูสอยดาว แต่เย็นวันนี้พระอาทิยต์ตกไม่สวยเท่าไร เพราะมีเมฆบังทำให้ตกเร็วยิ่งขี้น
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 05:00 ได้กลิ่นควันไฟลอยมาเข้าจมูกอีกเช้าหนึ่ง ไปทำธุระส่วนตัว กลับมาทานอาหารเช้า
กลับมาที่พักเก็บของ แต่งตัวเตรียมพร้อมเดินลงจากภู ของหนักต่างๆ ต้องให้ลูกหาบมาหาบลงไป (ลูกหาบมานอนค้างคืนรออยู่แล้ว)
ทางเดินกลับเป็นเส้นทางเดิมจึงไม่ต้องกลัวหลง
11:30 น. ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ทุกคนลงมาถึงศูนย์ฯ ด้วยความเรียบร้อย
เล่นน้ำที่น้ำตก เสร็จแล้วถ่ายรูปกับป้ายอุทยานฯ
และทางอาหารกลางวันที่ร้านหน้าศูนย์ฯ
13:30 น. ออกเดินทางจากศูนย์ฯ เข้าตัวเมืองบนเส้นทางอันขรุขระ หลับกันมาตลอดทาง
15:00 น. แวะที่อุทยานชาติตระการ ไปดูน้ำตกแค่ชั้นที่ 1 ก็สวย แต่จะให้ปีนขึ้นไปอีกก็คงจะไม่ไหว
20:00 น. กลับถึงพนาวัลย์รีสอร์ท ทานอาหารค่ำ เข้านอน เพื่อพร้อมลุยในวันรุ่งชึ้นกับการล่องแก่งน้ำเข็ก